JR Pass: คุ้มจะซื้อไหม ราคา วิธีการซื้อ อัพเดทปี 2025

JR Pass: คุ้มจะซื้อไหม ราคา วิธีการซื้อ อัพเดทปี 2025

ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที สิ่งที่มองข้ามไม่ได้อีกอย่างเลยก็คือการเดินทางใช่ไหมคะ ค่าเดินทางเองก็เป็นค่าใช้จ่ายส่วนที่สูงเป็นลำดับต้นๆ เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ในการเที่ยว จะดีแค่ไหนกันถ้าเราสามารถประหยัดค่าเดินทางเพิ่มอีกสักนิด JR Pass หรือ Japan Rail Pass เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่หลายคนพิจารณาเวลาวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะหากวางแผนการเดินทางและคำนวณค่าเดินทาเดีๆ แล้ว การซื้อ JR Pass อาจจะช่วยประหยัดค่าเดินทางไปได้มากกว่าการซื้อตั๋วแยกเป็นเที่ยวๆ โดยเฉพาะคนที่มีแพลนการเดินทางระยะไกล หรือเดินทางข้ามเมืองหลายครั้งในทริป การเลือกใช้ JR Pass อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้การเดินทางในญี่ปุ่นทั้งประหยัดและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

สารบัญ

Show More

JR Pass คืออะไร

ก่อนจะไปเจาะลึกและเปรียบเทียบ JR Pass เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า JR Pass คืออะไร และทำไมคนไทยที่อยากไปญี่ปุ่นถึงเลือกใช้ JR Pass นี้

JR Pass (Japan Rail Pass) คืออะไร

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า JR Pass ผ่านหูกันมาบ้างแล้ว JR Pass หรือ Japan Rail Pass คือตั๋วรถไฟแบบเหมาจ่ายที่ให้สิทธิ์เดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยวบนเครือข่ายรถไฟ JR ทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรถไฟชินคันเซ็น (ยกเว้นรถไฟชินคันเซ็นขบวน Nozomi และขบวน Mizuho) รถไฟด่วนพิเศษ รถไฟธรรมดา หรือแม้แต่รถบัส JR บางสาย และเรือเฟอร์รี่บางเส้นทางก็ยังใช้ JR Pass ได้อีกด้วย ตั๋วนี้ออกแบบมาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ

ทำไม JR Pass ถึงเป็นที่นิยม

🚅คุ้มค่า ถ้าเราอยากเที่ยวญี่ปุ่นหลายๆ เมือง เช่น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต การซื้อตั๋วแยกทีละครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก การซื้อ JR Pass สามารถช่วยประหยัดค่าเดินทางได้อย่างมาก

 

🚅สะดวกสบาย เวลาขึ้นรถไฟหรือรถสาธารณะอื่นๆ ที่ใช้ JR Pass ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วทีละครั้ง ช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น และยังไม่ต้องมานั่งคำนสณค่ารถไฟให้ปวดหัว

 

🚅ครอบคลุมทั่วประเทศ JR Pass ใช้เดินทางได้ตั้งแต่ฮอกไกโดจรดคิวชู ทำให้การวางแผนเที่ยวยืดหยุ่นมากขึ้น

JR Pass มีกี่ประเภท เปรียบเทียบความแตกต่าง 2025

JR Pass หลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ JR Pass ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ (Japan Rail Pass All Area) และ JR Pass แบบเฉพาะภูมิภาค (Regional JR Pass) ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญที่ต้องรู้

1. Japan Rail Pass All Area: JR Pass ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

Japan Rail Pass ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เป็นพาสที่คนส่วนใหญ่รู้จักและนิยมใช้กัน เพราะเป็นพาสที่ครอบคลุมการเดินทางด้วยรถไฟ JR ได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนจะเดินทางเที่ยวข้ามภูมิภาคหลายๆ ที่ ทำให้เดินทางสะดวกมากๆ ไม่ต้องซื้อตั๋วแยกยิบย่อย มีระยะเวลาใช้งานให้เลือก 3 แบบคือแบบ 7 วัน 14 วัน และ 21 วัน

Japan Rail Pass All Area แบ่งประเภทที่นั่งออกเป็น Ordinary Car หรือชั้นธรรมดา คือที่นั่งปกติมาตรฐานทั่วไป มีความสะดวกสบายและเพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ และ Green Car หรือชั้น Green เปรียบได้ว่าเป็นที่นั่งแบบ First Class เพราะมีที่นั่งกว้างขวางและสะดวกสบายกว่า มีพท้นที่วางขาเยอะกว่า และมักจะคนน้อยกว่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสบายเป็นพิเศษ หรือเดินทางในช่วงฤดูท่องเที่ยวที่คนเยอะๆ

อัปเดตราคาปี 2025 (โดยประมาณ)

2. Regional JR Pass: JR Pass แบบภูมิภาค

นอกจากพาสครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว ยังมี JR Pass แบบเฉพาะภูมิภาค ที่ครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เหมาะสำหรับใครที่ไม่ได้แพลนเที่ยวทั่วประเทศ แต่อยากเน้นเที่ยวแค่บางภูมิภาค เช่น คันไซ คันโต ฮอกไกโด หรือคิวชู JR Pass แบบเฉพาะภูมิภาคจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ามาก เพราะราคาถูกกว่าและครอบคลุมเฉพาะพื้นที่นั้นๆ ระยะเวลาใช้งานก็หลากหลาย มีให้เลือกหลายวันมากกว่า อาจจะมีตั้งแต่ 4 วัน 5 วัน ไปจนถึง 7 วัน ขึ้นอยู่กับพาสแต่ละชนิด

ตัวอย่าง JR Pass ยอดนิยมในแต่ละภูมิภาค

🚅Hokkaido Rail Pass สำหรับเที่ยวฮอกไกโด

 

🚅JR East Pass (Tohoku Area / Nagano & Niigata Area) สำหรับเที่ยวภาคตะวันออกของญี่ปุ่น

 

🚅JR West Rail Pass (Kansai Area / Sanyo-San’in Area) สำหรับเที่ยวภาคตะวันตกของญี่ปุ่น

 

🚅JR Kyushu Rail Pass (Northern Kyushu / All Kyushu) สำหรับเที่ยวเกาะคิวชู

JR Pass แบบไหนคุ้มค่าที่สุด

การตัดสินใจว่า JR Pass แบบไหนคุ้มค่าที่สุดขึ้นอยู่กับแผนการเดินทาง ก่อนออกเดินทางและซื้อพาสมี 3 คำถามสำคัญที่ควรถามตัวเองก่อนตัดสินใจ

1. เดินทางกี่เมืองและไกลแค่ไหน

🚅 ใช้ชินคันเซ็นบ่อยหรือเที่ยวหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ  เช่น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต ฮิโรชิม่า Japan Rail Pass ทั่วประเทศแบบ 7 วัน 14 วัน หรือ 21 วัน อาจคุ้มค่าที่สุด เพราะค่าตั๋วชินคันเซ็นระหว่างเมืองนั้นค่อนข้างสูง

 

🚅 เที่ยวแค่ภูมิภาคเดียว เช่น ภูมิภาคคันไซ หรืออยากกจะตะลุยฮอกไกโดให้ทั่ว หรือเที่ยวแค่โซนคิวชู JR Pass แบบเฉพาะภูมิภาคจะคุ้มค่าและประหยัดกว่ามาก เพราะราคาถูกกว่าและครอบคลุมการเดินทางในพื้นที่นั้นๆ ได้อย่างดี

2. แผนการเดินทางกี่วัน

🚅 ระยะเวลาเที่ยว 7 วันขึ้นไปและเดินทางไม่หยุด ถ้ามีเวลาเที่ยวญี่ปุ่น 7 วัน 14 วัน หรือ 21 วัน และวางแผนที่จะเดินทางย้ายเมืองเกือบทุกวันหรือเว้นวัน การซื้อ JR Pass แบบครอบคลุมทั่วประเทศจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วทุกครั้ง

 

🚅 ระยะเวลาเที่ยวน้อยกว่า 7 วัน หรือต้องการเน้นเที่ยวในแต่ละพื้นที่ บาง Regional JR Pass มีให้เลือก 3-5 วัน ซึ่งเหมาะกับคนที่มีวันเที่ยวจำกัด แต่อยากเที่ยวให้คุ้มในโซนนั้นๆ

3. งบประมาณเท่าไหร่

🚅 ไม่จำกัดงบประมาณ Japan Rail Pass ทั่วประเทศให้ความยืดหยุ่นในการเดินทางค่อนข้างสูง อยากไปไหนก็แค่ขึ้นรถไฟในเครือ JR ได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่แลกมากับค่าพาสที่ราคาค่อนข้างสูงพอสมควร แต่ก็ยังถือว่าคุ้มเมื่อเทียบกับการซื้อตั๋วแยก

 

🚅 ต้องการคุมงบ ราคาของ Regional JR Pass มักจะถูกกว่า JR Pass ทั่วประเทศค่อนข้างมาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการคุมงบ และใช้วิธ๊การเดินทางอื่นๆ ร่วมด้วย

 

4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการซื้อและใช้งาน JR Pass 2025

การซื้อและใช้งาน JR Pass ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด มี 4 ขั้นตอนง่ายๆ

1. การซื้อ JR Pass ล่วงหน้า

สามารถซื้อ JR Pass ได้จากหลายช่องทาง เช่น ซื้อจากเว็บไซต์ทางการ Japan Rail Pass  เป็นช่องทางที่แนะนำที่สุด เพราะเชื่อถือได้และมีข้อมูลอัปเดตล่าสุด หรือซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย อย่างบริษัททัวร์ หรือเอเจนซี่ท่องเที่ยวที่ได้รับอนุญาตในไทย เช่น HIS, JTB, Klook, KKday เนื่องจากบางครั้งอาจมีโปรโมชั่นพิเศษ และยังมีบริการช่วยเหลือเป็นภาษาไทยอีกด้วย

สามารถซื้อ JR Pass ที่ญี่ปุ่นได้ที่เคาน์เตอร์ JR ในสนามบิน เช่น สนามบินนาริตะ สนามบินฮาเนดะ สนามบินคันไซ หรือสถานีรถไฟหลักๆ ในญี่ปุ่น เช่น สถานีโตเกียว สถานีโอซาก้า แต่ราคาที่ซื้อในญี่ปุ่นก็จะแพงกว่าซื้อล่วงหน้าจากนอกประเทศเล็กน้อย

เมื่อซื้อพาสเรียบร้อยจะได้รับ Exchange Order หรือตั๋วแลกเปลี่ยน บางกรณีอาจได้เป็น QR Code หรือ E-ticket ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ต้องนำไปแลกเป็น JR Pass ตัวจริงในญี่ปุ่น

2. การแลก Exchange Order เป็น JR Pass ตัวจริง

เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือนำ Exchange Order หรือ QR Code หรือ E-ticket พร้อมพาสปอร์ตไปแลกเป็น JR Pass ตัวจริงได้ที่เคาน์เตอร์ JR Pass Exchange Office ที่สนามบินนานาชาติหลักๆ เช่น สนามบินนาริตะ สนามบินฮาเนดะ และสนามบินคันไซ หรือที่สถานีรถไฟ JR ใหญ่ๆ ทั่วประเทศ

ตอนแลก JR Pass ต้องแจ้งวันที่ต้องการเริ่มใช้งาน ซึ่งจะเป็นวันแรกที่ JR Pass เริ่มนับวันและจะใช้งานได้ต่อเนื่องตามจำนวนวันที่ซื้อมา เช่น ถ้าซื้อ JR Pass แบบ 7 วัน และเริ่มใช้ 1 สิงหาคม จะใช้ได้ถึงวันที่ 7 สิงหาคมเป็นวันสุดท้าย

3. การจองที่นั่งสำหรับรถไฟชินคันเซ็นและรถไฟด่วนพิเศษ

หากแพลนเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นและรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) ส่วนใหญ่ แนะนำให้จองที่นั่งล่วงหน้า โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวหรือฤดูท่องเที่ยว เพราะที่นั่งอาจจะเต็มได้ สามารถจองที่นั่งได้ฟรีที่เคาน์เตอร์ JR Ticket Office (Midori no madoguchi) ที่สถานีรถไฟ หรือตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติบางแห่ง แจ้งปลายทาง วันที่ และเวลาที่ต้องการ แล้วเจ้าหน้าที่จะออกตั๋วแบบระบุที่นั่ง (Reserved Seat Ticket) ให้

4. การใช้ JR Pass เข้า-ออกสถานีรถไฟ

วิธีการใช้งานพาสก็แสนง่าย ตอนที่เดินผ่านประตูตรวจตั๋วอัตโนมัติ ให้สอด JR Pass ที่ช่องสอดตั๋วซึ่งอยู่ที่ประตูตรวจตั๋วอัตโนมัติ หลังจากเดินผ่านประตูแล้ว พาสจะถูกคืนออกมาจากช่องคืนตั๋ว อย่าลืมหยิบพาสกลับไปด้วย ตอนออกจากสถานีก็ทำแบบเดียวกัน แต่ในบางสถานีหรือบางกรณี อาจจะต้องแสดงพาสต่อเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ที่ประตู เพื่อผ่านเข้าไปในสถานี สิ่งสำคัญที่สุดคือควรเก็บ JR Pass ไว้ให้ดี หากทำหายจะไม่สามารถออกใหม่ได้ และต้องซื้อตั๋วใหม่ทั้งหมด

เคล็ดลับ 5 ข้อสำหรับการใช้ JR Pass ให้คุ้มค่าที่สุด

1. วางแผนเส้นทางก่อนซื้อ JR Pass

ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญก่อนการเดินทาง คือก่อนซื้อ JR Pass ควรวางแผนเส้นทางและคำนวณค่าเดินทางแต่ละเที่ยวแบบคร่าวๆ ว่าจะไปเมืองไหนบ้าง พักกี่คืนในแต่ละที่ และจะเดินทางข้ามภูมิภาคบ่อยแค่ไหน ลองใช้ Google Maps หรือแอปพลิเคชันช่วยวางแผนการเดินทาง หากค่าเดินทางทั้งหมดสูงกว่าราคาพาส ก็ถือว่าคุ้มค่า

2. เน้นใช้กับการเดินทางระยะไกล โดยเฉพาะชินคันเซ็น

การเดินทางในเมืองด้วยรถไฟใต้ดิน รถไฟเอกชน หรือรถบัสบางสาย อาจจะไม่ครอบคลุมโดย JR Pass และการใช้ JR Pass เพื่อเดินทางแค่ 1-2 สถานีสั้นๆ ก็ไม่คุ้มค่า แต่ JR Pass จะคุ้มค่ามากถ้าใช้เดินทางด้วยรถไฟทางไกล โดยเฉพาะชินคันเซ็น ซึ่งราคาตั๋วค่อนข้างสูง ถ้ามีแผนจะเดินทางไปกลับ หรือไปหลายเมืองด้วยชินคันเซ็นสัก 2-3 เที่ยว ก็อาจจะคุ้มค่ากับ JR Pass แล้ว

3. จองที่นั่งล่วงหน้า (Reserved Seats) เสมอ ถ้าเป็นไปได้

ถึงแม้ JR Pass จะสามารถขึ้นรถไฟในตู้แบบไม่ระบุที่นั่ง (Non-reserved seats) ได้ แต่การจองที่นั่งล่วงหน้า (Reserved seats) มีประโยชน์มากๆ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางด้วยชินคันเซ็น หรือรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) เพราะการจองที่นั่งจะทำให้มั่นใจไดเว่ามีที่นั่งแน่นอน ไม่ต้องยืน หรือต้องลุ้นว่าจะได้นั่งไหม โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน หรือวันหยุดยาวที่คนเยอะมาก อีกทั้งยังสามารถเบือกที่นั่งติดหน้าต่าง ติดทางเดิน หรือที่นั่งที่อยู่ใกล้กับที่วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สะดวกมากๆ

4. เริ่มใช้งาน JR Pass ในวันที่เดินทางไกลที่สุด

เมื่อแลก JR Pass ตัวจริงที่ญี่ปุ่น จะต้องระบุวันแรกที่จะเริ่มใช้งานพาสนั้นๆ เคล็ดลับคือให้เริ่มใช้วันที่มีแผนเดินทางด้วยรถไฟทางไกล รถไฟชินคันเซ็น หรือวันที่เริ่มเดินทางข้ามเมืองบ่อยๆ 

 

หากวันแรกที่ไปถึงญี่ปุ่น พักแค่ในโตเกียวหรือโอซาก้าหรือในเมืองนั้นๆ และเดินทางแค่ในเมืองสั้นๆ แนะนำให้ยังไม่เริ่มใช้ JR Pass ให้ซื้อตั๋วเที่ยวเดียว หรือเดินทางโดยใช้บัตร IC Card ไปก่อน เพื่อเก็บวันของ JR Pass ไว้ใช้วันที่เริ่มเดินทางออกนอกเมืองจริงๆ เพื่อให้คุ้มค่าที่สุด

5. ใช้ประโยชน์จาก JR Pass ให้ครอบคลุมทุกการเดินทางของ JR

JR Pass ไม่ได้ครอบคลุมแค่รถไฟชินคันเซ็นเท่านั้น แต่ยังใช้กับรถไฟ JR ประเภทอื่นๆ ได้อีกมากมาย รวมถึงรถบัสบางสาย และเรือเฟอร์รี่บางเส้นทาง เช่น เรือไปเกาะมิยาจิม่า ในบางเมือง อาจใช้รถไฟ JR สายท้องถิ่นในการเดินทางภายในเมือง เพื่อช่วยประหยัดค่ารถไฟในแต่ละวัน และก่อนเดินทาง ลองเช็กดูว่าเส้นทางนั้นมีรถบัสของ JR หรือเรือเฟอร์รี่ที่ JR Pass ครอบคลุมหรือไม่ เพื่อให้สามารถใช้พาสได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

ข้อควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ JR Pass สำหรับนักท่องเที่ยวไทย 2025

นอกจากข้อมูลข้างบนแล้ว ยังมีข้อควรรู้อื่นๆ ที่จะช่วยให้การเตรียมตัวเที่ยวญี่ปุ่นและการใช้พาสเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหา

1. JR Pass ใช้ได้เฉพาะ Temporary Visitor เท่านั้น

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้คือ JR Pass ถูกออกแบบมาเพื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นด้วยวีซ่าประเภท Temporary Visitor หรือวีซ่าพำนักชั่วคราวเท่านั้น เมื่อแลก Exchange Order เป็น JR Pass ตัวจริง จะต้องใช้พาสปอร์ตและเจ้าหน้าที่จะเช็ควีซ่าว่าเป็นประเภท Temporary Visitor หรือไม่จากขั้นตอนนี้ หากถือวีซ่าประเภทอื่น เช่น วีซ่านักเรียน วีซ่าทำงาน หรือมีที่อยู่ในญี่ปุ่น จะไม่มีสิทธิ์ซื้อและใช้ JR Pass แม้ว่าจะเป็นชาวต่างชาติก็ตาม

2. JR Pass ไม่ครอบคลุมรถไฟชินคันเซ็นขบวน Nozomi และขบวน Mizuho

แม้ว่า JR Pass จะครอบคลุมรถไฟชินคันเซ็นเกือบทุกขบวน แต่มีข้อยกเว้นคือรถไฟชินคันเซ็นขบวน Nozomi และขบวน Mizuho ซึ่งเป็นขบวนที่เร็วที่สุดและจอดน้อยที่สุดจะไม่ครอบคลุมในพาสนี้ เพราะรถไฟสองขบวนนี้ถูกสงวนไว้สำหรับผู้โดยสารทั่วไปที่จ่ายราคาเต็ม เพื่อให้คนญี่ปุ่นสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วในเส้นทางธุรกิจ 

  • Nozomi

    Nozomi

  • Mizuho

    Mizuho

หากมีแพลนเดินทางเส้นทางเดียวกับชินคันเซ็นสองขบวนนี้ สามารถเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นประเภทอื่นที่ JR Pass ครอบคลุม เช่น ขบวน Hikari หรือขบวน Sakura ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางนานกว่าขบวน Nozomi และขบวน Mizuho เล็กน้อย แต่ถ้าอยากนั่งสองขบวนนี้จริงๆ สามารถซื้อตั๋วเสริม (Add-on Ticket) สำหรับขบวน Nozomi และขบวน Mizuho ได้ที่เคาน์เตอร์ JR Ticket Office (Midori no madoguchi) ราคาของตั๋วเสริมจะแตกต่างกันไปตามเส้นทางและระยะทางที่เดินทาง

3. การปรับขึ้นราคาและความคุ้มค่าในภาพรวม

แม้ว่า JR Pass จะมีการปรับราคาขึ้นค่อนข้างมากในช่วงปลายปี 2023 และต่อเนื่องมาจนถึงปี 2025 แต่ก็ยังถือว่าคุ้มค่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีแผนการเดินทางที่เหมาะสม แต่ด้วยราคาที่ปรับขึ้น ทำให้การคำนวณว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะซื้อ JR Pass สำคัญยิ่งกว่าเดิม

ลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายจากการซื้อตั๋วแยก กับราคาของ JR Pass อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าพาสยังตอบโจทย์การเดินทางจริงๆ แต่หากเน้นเที่ยวในพื้นที่จำกัด JR Pass แบบเฉพาะภูมิภาค อาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ามาก เพราะราคาถูกกว่าและตอบโจทย์การเดินทางที่ไม่ต้องข้ามโซนบ่อยๆ หากเน้นเที่ยวในเมืองนั้นๆ อาจจะเลือกซื้อพาสแบบ 1 Day Pass แล้วเที่ยวให้คุ้มก็ประหยัดเงินไปพอสมควร

บทความแนะนำ บทความแนะนำ