กิโมโน vs ยูกาตะ: ความแตกต่างที่คนมักสับสน

28.05.2025
กิโมโน vs ยูกาตะ: ความแตกต่างที่คนมักสับสน

เมื่อพูดถึงชุดประจำชาติของญี่ปุ่น หลายคนมักคุ้นเคยกับภาพของเสื้อคลุมยาวที่มีลวดลายงดงาม ซึ่งส่วนใหญ่มักถูกเรียกว่ากิโมโน (Kimono) อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งชุดที่พบเห็นได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนหรืองานเทศกาลต่างๆ คือยูกาตะ (Yukata) ทำให้หลายครั้งเกิดความสับสนว่าชุดทั้งสองนี้เหมือนกันหรือไม่ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่างกิโมโนและยูกาตะในแง่มุมต่างๆ เพื่อคลายความสงสัยกัน

ระดับความเป็นทางการและโอกาสในการสวมใส่

กิโมโน (Kimono) 

กิโมโน หมายถึง สิ่งที่สวมใส่ ถือเป็นชุดประจำชาติที่เป็นทางการของญี่ปุ่น เหมาะสำหรับใส่ในพิธีการสำคัญต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีสำเร็จการศึกษา งานเลี้ยงที่เป็นทางการ พิธีชิจิโกะซัง (Shichi Go San) หรือพิธีฉลองเด็กอายุ 3, 5 และ 7 ขวบ พิธีบรรลุนิติภาวะ (Seijin no Hi) หรือบางคนสวมใส่กิโมโนไปไหว้พระขอพรในวันปีใหม่ก็มีเช่นกัน

 

นอกจากสวมใส่ในพิธีการสำคัญแล้ว ยังนิยมใส่ในงานแสดงศิลปะวัฒนธรรม อย่างเช่น การแสดงคาบูกิ (Kabuki) เป็นการแสดงละครเวทีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม การแสดงโนห์ (Noh) ที่ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ หรือในพิธีชงชา (Chanoyu) ที่เงียบสงบ บางครั้งมีการใส่กิโมโนในชีวิตประจำวัน แต่พบน้อยมากในปัจจุบัน

ยูกาตะ (Yukata) 

ยูกาตะ หมายถึง ชุดอาบน้ำ เพราะเดิมทียูกาตะถูกสวมใส่หลังการอาบน้ำในโรงอาบน้ำสาธารณะ หรือเรียวกัง แต่ในปัจจุบัน ยูกาตะถือเป็นชุดลำลอง และเป็นที่นิยมในการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน ในงานเทศกาลต่างๆ เช่น งานเทศกาลดอกไม้ไฟ หรือกิจกรรมที่ไม่เป็นทางการ ใส่พักผ่อนอยู่บ้าน หรือสวมใส่หลังอาบน้ำในเรียวกัง หรือหลังแช่ออนเซ็นก็ยังพบได้ในปัจจุบัน บางครั้งอาจพบเห็นผู้คนใส่เดินเล่นในเมืองท่องเที่ยวที่มีบรรยากาศแบบญี่ปุ่น

เนื้อผ้า

กิโมโน (Kimono) 

กิโมโน สามารถทำจากผ้าได้หลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นทางการ ฤดูกาล และราคา เช่น ผ้าไหม (Silk) ถือเป็นเนื้อผ้าที่เป็นทางการและหรูหราที่สุดสำหรับกิโมโน มักใช้ในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน งานเลี้ยงที่เป็นทางการ และพิธีชงชา ส่วนผ้าฝ้าย (Cotton) มักใช้สำหรับกิโมโนที่ไม่เป็นทางการ หรือกิโมโนที่ใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งพบได้น้อยในปัจจุบัน 

 

สำหรับกิโมโนที่ใส่ในฤดูร้อน ผ้าที่นิยมใช้มักเป็นผ้าลินิน (Linen) เนื่องจากระบายอากาศได้ดี สำหรับกิโมโนที่ใส่ในฤดูหนาว นิยมใส่เป็นผ้าขนสัตว์ (Wool) ที่ให้ความอบอุ่น และปัจจุบันมีการนำผ้าโพลีเอสเตอร์ (Polyester) ที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์มาใช้ทำกิโมโนมากขึ้น เนื่องจากเป็นผ้าที่ดูแลรักษาง่าย ราคาไม่แพง และทนทาน 

ยูกาตะ (Yukata) 

ยูกาตะมักทำจากผ้าฝ้าย (Cotton) นับว่าเป็นผ้าที่เป็นมาตรฐานสำหรับยูกาตะ เนื่องจากระบายอากาศได้ดี ดูดซับเหงื่อ และซักง่าย ทำให้เหมาะสำหรับใส่ในฤดูร้อน บางครั้งอาจใช้ผ้าใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ แต่ส่วนใหญ่แล้วยูกาตะดั้งเดิมและที่นิยมใส่กันทั่วไปมักทำจากผ้าฝ้าย

จำนวนชั้น

กิโมโน (Kimono) 

การสวมใส่กิโมโนนั้นซับซ้อนและมีหลายชั้น ประมาณ 5-7 ชั้น หรือมากกว่านั้น โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วยฮาดะจูบัง (Hadajuban) เสื้อชั้นในตัวแรกที่ใส่ข้างในสุด มักเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าใยสังเคราะห์ ฮิโมะ (Himo) เชือกสำหรับผูกชั้นต่างๆ มีหลายเส้น นางาจูบัง (Nagajuban) เสื้อคลุมชั้นใน มีปกคอที่สามารถเปลี่ยนได้

 

คาดด้วยดาเตจิเมะ (Datejime) ผ้าคาดเอวเพื่อทำให้ทรงชุดเรียบ ทับด้วยกิโมโนตัวนอก (Kimono) ซึ่งถือเป็นชุดหลัก และสุดท้ายคือโอบิ (Obi) ผ้าคาดเอวผืนใหญ่และตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งมีวิธีการผูกที่ซับซ้อน อาจมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น โอบิอาเกะ (Obiage) และโอบิจิเมะ (Obijime)

ยูกาตะ (Yukata) 

การสวมใส่ยูกาตะนั้นเรียบง่ายกว่ามาก โดยทั่วไปแล้ว การสวมใส่ยูกาตะจะมีเพียง 1-3 ชั้นเท่านั้น มีเพียงฮาดะจูบัง (Hadajuban) ซึ่งบางคนอาจจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ คลุมทับด้วยชุดยูกาตะตัวนอก (Yukata) และคาดเอวด้วยผ้าคาดเอวโอบิ (Obi) แบบเรียบง่าย เป็นอันเสร็จสิ้น

แขนเสื้อ

กิโมโน (Kimono) 

ลักษณะเด่นๆ ที่สังเกตได้ของกิโมโนคือแขนเสื้อที่กว้างและยาว แขนเสื้อของกิโมโนมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทและระดับความเป็นทางการของกิโมโนนั้นๆ เช่น กิโมโนแบบโทเมโซเดะ (Tomesode) สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แขนเสื้อจะสั้นกว่ากิโมโนแบบฟุริโซเดะ ( Furisode) ที่เป็นกิโมโนสำหรับผู้หญิงโสด ซึ่งแขนเสื้อจะยาวมาก

 

นอกจากนี้ แขนเสื้อกิโมโนจะกว้าง โดยด้านข้างของแขนเสื้อจะไม่ได้เย็บติดกับตัวชุด ทำให้เกิดช่องเปิดขนาดใหญ่ ซึ่งช่องเปิดด้านข้างของแขนเสื้อนี้มีไว้เพื่อสอดมือเข้าไป และยังเป็นส่วนที่ใช้เก็บของเล็กๆ น้อยๆ หรือปล่อยให้มองเห็นชายผ้าของชุดนางาจูบังได้เล็กน้อยเพื่อความสวยงาม

ยูกาตะ (Yukata)

แขนเสื้อของยูกาตะจะสั้นกว่าของกิโมโน ส่วนความกว้างของแขนเสื้อจะกว้างกว่าเสื้อผ้าทั่วไปแต่ไม่กว้างเท่ากิโมโน และมักจะเย็บติดกับตัวชุดมากกว่ากิโมโน โดยจะมีช่องเปิดใต้วงแขนไว้ระบายอากาศ

ปกเสื้อ

กิโมโน (Kimono) 

ปกเสื้อของกิโมโนมีความซับซ้อน โดยจะมีปกชั้นในที่เรียกว่าฮันเอริ (Han-eri) ซึ่งเย็บติดกับเสื้อคลุมชั้นใน หรือนางาจูบัง (Nagajuban) สามารถเปลี่ยนได้เพื่อให้เข้ากับโอกาสและสไตล์ ปกเสื้อชั้นนอกของกิโมโน เรียกโดยทั่วไปว่าเอริ (Eri) จะสวมทับอยู่บนเอริอีกชั้นหนึ่ง ปกเสื้อจะพับลงมาด้านหน้าเล็กน้อย โดยทั่วไป ปกเสื้อจะค่อนข้างแข็งเพื่อให้คงรูปทรงที่สวยงาม การจัดและใส่ปกเสื้อให้ดูดีถือเป็นส่วนสำคัญของการแต่งชุดกิโมโน

ยูกาตะ (Yukata) 

ปกเสื้อของยูกาตะจะเรียบง่ายกว่ากิโมโน โดยจะเป็นปกชั้นเดียวที่เย็บติดกับตัวชุดโดยตรง โดยทั่วไปจะทำจากผ้าเดียวกับตัวชุด หรือผ้าที่มีสีหรือลวดลายที่ตัดกันเล็กน้อย ลักษณะของปกเสื้อจะนิ่มกว่าปกเสื้อของกิโมโน

เครื่องแต่งกายเพิ่มเติม

กิโมโน (Kimono)

เพื่อให้การแต่งกายมีความเป็นทางการและสวยงามยิ่งขึ้น ชุดกิโมโนอาจมีเครื่องประดับ หรือเครื่องแต่งกายเพิ่มเติม เช่น โอบิ (Obi) โอบิอาเกะ (Obiage) โอบิจิเมะ (Obijime) ฮิโมะ (Himo) และดาเตจิเมะ ( Datejime) ตามที่ได้พูดไปข้างต้น นอกจากนี้ยังมีโคชิฮิโมะ (Koshihimo) เชือกคาดเอวสำหรับยึดกิโมโนให้อยู่กับที่ เอริชิน (Erishin) แผ่นพลาสติกบางๆ สอดในปกเสื้อนางาจูบังเพื่อให้ปกเสื้อตั้งสวยงาม ทาบิ (Tabi) ถุงเท้าแบบญี่ปุ่น โซริ (Zori) รองเท้าแตะแบบญี่ปุ่น กระเป๋าถือขนาดเล็ก และเครื่องประดับผม (Kamikazari) เช่น ปิ่นปักผม ดอกไม้ประดับ

ยูกาตะ (Yukata)

เครื่องแต่งกายเพิ่มเติมสำหรับยูกาตะจะเรียบง่ายกว่ามาก เช่น โอบิ (Obi) ผ้าคาดเอวแบบง่ายๆ เกตะ (Geta) หรือรองเท้าเกี๊ยะ กระเป๋าผ้าขนาดเล็ก และโอบิคาซาริ (Obikazari) เครื่องประดับเล็กๆ ที่ห้อยจากโอบิ ซึ่งอาจจะห้อยหรือไม่ก็ได้

ลวดลาย

กิโมโน (Kimono)

ลวดลายบนกิโมโนมีความหลากหลายและมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง ซึ่งมักจะบ่งบอกถึงฤดูกาล โอกาส ผู้สวมใส่ และความปรารถนาของผู้สวมใส่ ลวดลายที่พบบ่อย เช่น ลวดลายธรรมชาติ อย่าง ดอกซากุระ ดอกบ๊วย ดอกเบญจมาศ ต้นสน ต้นไผ่ นกกระเรียน เต่า ปลาคาร์ป หรือทิวทัศน์ภูเขา แม่น้ำ

 

นอกจากนี้ยังมีลายเรขาคณิต เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม ลายคลื่น หรือลายมงคล อย่าง ลายพัด ลายเกวียน ลายสมบัติ เป็นลายที่ซับซ้อนและมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ในการทำลวดลายกิโมโน มีการใช้เทคนิคการย้อม การปัก หรือการวาดลวดลายที่ปราณีต ลวดลายบนกิโมโนที่เป็นทางการมักจะมีความหรูหราและละเอียดกว่ากิโมโนลำลองที่อาจมีลวดลายที่เรียบง่ายกว่า

ยูกาตะ (Yukata)

ลวดลายบนยูกาตะมักจะเรียบง่ายและสื่อถึงความเป็นฤดูร้อนมากกว่า อย่างเช่น ลายดอกไม้ไฟ ดอกอาซากาโอะ (Morning Glory) ดอกซากุระ ลายเราขาคณิต อย่างเช่น ลายจุด ลายทาง ลายนามธรรม เช่น ลายคลื่น ลายฟองสบู่ ถ้าเป็นลายสัตว์ก็อาจจะเป็นลายปลาทอง และสีของยูกาตะจะสดใส เหมาะกับบรรยากาศเทศกาลฤดูร้อน

 

 

✨Kimono: สัมผัสความงดงามเหนือกาลเวลาผ่านกิโมโน วัฒนธรรมและแฟชั่นแห่งแดนอาทิตย์อุทัย✨

แวะคุยสักนิด🐶🌸

มองผ่านๆ อาจดูเหมือนว่ากิโมโนและยูกาตะเหมือนกันใช่มั้นล่ะคะ แต่พอหยิบมาเทียบความแตกต่างเป็นข้อๆ ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่ากิโมโนกับยูกาตะแตกต่างกันมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความซับซ้อนในการใส่ ความซับซ้อนของลาย โอกาสในการใส่ วัตถุดิบ หรือแม้แต่ความกว้าง ความยาวของแขนเสื้อก็ยังแตกแต่ง แต่นี่ก็เป็นเสน่ห์ของกิโมโนและยูกาตะที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ต่อไปนี้ พอเห็นชุดก็ลองสังเกตและเดากันสนุกๆ ดูนะคะว่าเป็นกิโมโนหรือยูกาตะกันแน่😆