เที่ยวญี่ปุ่นสะดวกขึ้นด้วย IC Card: วิธีการซื้อบัตร วิธีใช้ รวมถึงข้อควรรู้

เที่ยวญี่ปุ่นสะดวกขึ้นด้วย IC Card: วิธีการซื้อบัตร วิธีใช้ รวมถึงข้อควรรู้

บัตร IC Card คือ บัตรสมาร์ทการ์ดแบบเติมเงิน (Rechargeable Smart Card) ที่ใช้สำหรับชำระค่าบริการต่างๆ แบบไม่ต้องใช้เงินสด โดยการแตะบัตรกับเครื่องอ่าน หลักๆ แล้วบัตร IC Card ในญี่ปุ่นถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับระบบขนส่งสาธารณะ และยังสามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้อีกด้วย วันนี้เราจะพาไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับ บัตร IC Card เป็นการเตรียมตัวก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

วิธีการซื้อบัตร IC Card

วิธีการซื้อบัตร IC Card สำหรับเดินทางของญี่ปุ่น สามารถซื้อได้ที่

 

🎟️ตู้จำหน่ายตั๋วที่สถานี (Ticket Vending Machine): ที่สถานี JR จะมีตู้จำหน่ายบัตร Suica ที่สถานีรถไฟหรือรถไฟใต้ดินจะมีตู้จำหน่ายบัตร PASMO ให้มองหาป้ายที่เขียนว่า ICカード (IC Card) หรือตัวเลือกบนหน้าจอที่เขียนว่า ICカード購入 (ฺPurchase IC Card) หรือ 新しいカードを買う (Purchase new card)

🎟️ช่องจำหน่ายตั๋วที่สถานี (Ticket Counter): หากไม่มั่นใจในการใช้งานตู้จำหน่ายตั๋ว หรือต้องการบัตรชนิดพิเศษ (เช่น แบบระบุชื่อ) สามารถซื้อได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วที่มีเจ้าหน้าที่

กรณีซื้อผ่านตู้จำหน่ายตั๋ว (Ticket Vending Machine) อาจมีหน้าจอแสดงผลแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละเครื่อง แต่ขั้นตอนพื้นฐานจะคล้ายกัน ส่วนใหญ่สามารถเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล ส่วนขั้นตอนการซื้อผ่านตู้จำหน่ายตัวมีดังนี้

 

1️⃣ ที่หน้าจอของตู้จำหน่ายตั๋ว ให้มองหาปุ่มที่เขียนว่า ICカード購入 (ฺPurchase IC Card) หรือ 新しいカードを買う (Purchase new card) แล้วกด

2️⃣ เลือกชนิดของบัตร IC Card ที่ต้องการซื้อ เช่น Suica, PASMO

3️⃣ เลือกว่าต้องการบัตรแบบ 無記名 (Unregistered) หรือแบบ 記名 (Registered) สำหรับนักท่องเที่ยว แนะนำให้เลือกแบบ Unregistered เพราะแบบ Registered ต้องลงทะเบียนชื่อ วันเกิด และข้อมูลอื่นๆ ซึ่งหากทำบัตรหาย สามารถขอออกบัตรใหม่ได้ แต่จะยุ่งยากเล็กหน่อย

4️⃣ เลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติมลงในบัตรครับ เช่น 1,000 เยน 2,000 เยน 3,000 เยน ในการซื้อบัตรครั้งแรก จะต้องจ่ายค่ามัดจำบัตร 500 เยน เพิ่มเติมจากยอดเงินที่เติม เช่น ถ้าเติม 1,000 เยน ยอดที่ต้องจ่ายคือ 1,000 เยน + 500 เยน รวมทั้งหมด 1,500 เยน

5️⃣ ใส่เงินเข้าไปในตู้ตามจำนวน (ส่วนใหญ่รับเฉพาะเงินสด) 

6️⃣ รับบัตร IC Card เงินทอน และใบเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการซื้อ

 

หากใช้สมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้แอปพลิเคชัน Mobile Suica หรือ Mobile PASMO (รองรับเทคโนโลยี FeliCa) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะสามารถใช้แทนบัตร IC Card ได้เลย สามารถเติมเงินผ่านแอปพลิเคชันได้ หากเชื่อมต่อกับบัตรเครดิต นับว่าสะดวกมากๆ ซึ่ง iPhone 8,  iPhone 8 plus, iPhone X หรือรุ่นที่ใหม่กว่านั้น ที่ใช้ iOS เวอร์ชันล่าสุด รองรับการใช้แอปพลิเคชันดังกล่าว ส่วน Android ต้องเป็นรุ่นที่มีชิป FeliCa ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นรุ่นที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นจึงสามารถใช้งานแอปพลิเคชันได้

วิธีการใช้งานบัตร IC Card

สถานีรถไฟหรือรถไฟใต้ดิน

🚆 ตอนเข้า: แตะบัตรให้สนิทที่บริเวณเครื่องอ่านบัตรที่เขียนว่า IC ตรงประตูตรวจตั๋ว จนกว่าจะมีเสียงปิ๊บ ดังขึ้น หน้าจอจะแสดงยอดเงินคงเหลือ และประตูจะเปิด

🚆 ตอนออก: ที่สถานีปลายทาง ให้แตะบัตรที่เครื่องอ่านบัตรตรงประตูตรวจตั๋วเหมือนตอนเข้า ค่าโดยสารจะถูกหักโดยอัตโนมัติ และหน้าจอจะแสดงยอดเงินคงเหลือ

 

💭ข้อควรรู้: ค่าโดยสารจะถูกคำนวณอัตโนมัติจากยอดเงินตอนแตะเข้าและแตะออก หากยอดเงินไม่เพียงพอ จะไม่สามารถผ่านประตูตรวจตั๋วได้ ในกรณีนี้ ให้ไปที่ Fare Adjustment Machine ที่อยู่ใกล้ๆ หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สถานีเพื่อเติมเงิน

รถบัส

วิธีการใช้กับรถบัสจะแตกต่างกันไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับบริษัทรถบัสและระบบค่าโดยสาร ว่าค่าโดยสารคิดตามระยะทาง หรือเป็นราคาเดียวตลอดสาย

🚍 ตอนขึ้น: แตะบัตรที่บริเวณเครื่องอ่านบัตรใกล้ประตูทางขึ้น จนมีเสียงปิ๊บ สำหรับรถบัสที่คิดค่าโดยสารตามระยะทาง การแตะในครั้งนี้จะบันทึกป้ายที่คุณขึ้น

🚍 ตอนลง: แตะบัตรที่บริเวณเครื่องอ่านบัตรใกล้ประตูทางลง จนมีเสียงปิ๊บ สำหรับรถบัสที่คิดค่าโดยสารตามระยะทาง ค่าโดยสารจะถูกคำนวณและหักจากยอดเงินคงเหลือในตอนนี้ สำหรับรถบัสที่ค่าโดยสารเป็นราคาเดียวตลอดสาย บางครั้งก็แตะเฉพาะตอนขึ้นอย่างเดียวก็พอ

 

💭ข้อควรรู้: หน้าจอแสดงค่าโดยสารจะอยู่ด้านหน้าของรถบัส คุณสามารถตรวจสอบค่าโดยสารของเส้นทางที่คุณนั่งได้ หากไม่แน่ใจสามารถสอบถามคนขับรถได้

ร้านค้า เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ ตู้ล้อคเกอร์ ที่จอดรถ

ข้อดีบัตร IC Card นอกจะใช้จ่ายค่าโดยสารขนส่งสาธารณะแล้ว ยังสารมารถใช้เป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Money) จ่ายตามร้านสะดวกซื้อ ร้านค้า ตู้กดน้ำอัตโนมัติ ตู้ล็อกเกอร์ และอื่นๆ ได้ด้วย สามารถสังเกตว่าที่ร้านคือตู้ที่จะใช้มีสัญลักษณ์บัตร IC Card หรือไม่ ได้เลย

🏪 ร้านสะดวกซื้อ: ใช้ได้กับร้านสะดวกซื้อเกือบทั้งหมด แค่บอกพนักงานที่แคชเชียร์ว่าจะจ่ายด้วยบัตร IC Card แล้วแตะบัตรที่เครื่องอ่านบัตร

🏪 เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ: ใช้ได้กับเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติหลายเครื่องในสถานีหรือตามเมือง

🏪 ร้านค้าภายในและรอบสถานี: ร้านค้าในสถานี ร้านอาหารและคาเฟ่บางแห่ง ร้านหนังสือ ร้านขายยา และอื่นๆ อีกมากมาย

🏪 ตู้ล็อกเกอร์แบบหยอดเหรียญ (Coin Locker): ตู้ล็อกเกอร์แบบที่รองรับบัตร IC Card ที่ติดตั้งตามสถานีต่างๆ ก็สามารถใช้ชำระเงินได้

🏪 ที่จอดรถ: ที่จอดรถบางแห่งก็รับชำระเงินด้วยบัตร IC Card

 

💭 ข้อควรรู้: หากไม่แน่ใจว่าร้านค้านั้นรองรับการใช้บัตร IC หรือไม่ ลองถามพนักงานดูว่า IC card tsukae masu ka? (ใช้บัตร IC ได้ไหมครับ/คะ?)

วิธีการเติมเงิน บัตร IC Card

วิธีการเติมเงิน บัตร IC Card สามารถเติมได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วหรือเครื่อง Fare Adjustment Machine ที่สถานี ตอนเติมเงินเหมือนตอนซื้อบัตร แค่ใส่บัตรเข้าไป หรือบางตู้ให้วางบัตรไว้ เลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติม แล้วใส่เงินเข้าไป ก็เรียบร้อย สามารถทำรายการได้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเลยค่ะ

 

นอกจากนี้ยังสามารถเติมที่ร้านสะดวกซื้อได้ผ่านทางพนักงานที่แคชเชียร์ หรือจะเติมที่ตู้เติมเงินบัตรในร้านสะดวกซื้อเลยก็ง่ายและสะดวก

การคืนบัตร IC Card

สามารถขอคืนบัตร IC Card ได้เมื่อไม่ต้องการใช้บัตรแล้ว เมื่อคืนบัตรจะได้รับเงินมัดจำ 500 เยน ที่จ่ายไปตอนซื้อบัตรกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม การคืนเงินจะต้องทำที่ช่องจำหน่ายตั๋วของบริษัทรถไฟที่ออกบัตรนั้นๆ เท่านั้น เช่น บัตร Suica ที่สถานี JR East บัตร PASMO ที่สถานีรถไฟเอกชนหรือรถไฟใต้ดินในภูมิภาคคันโต หากยังมียอดเงินคงเหลือในบัตร จะได้รับเงินคืนเท่ากับยอดคงเหลือหักด้วยค่าธรรมเนียม (โดยปกติ 220 เยน) บวกกับเงินมัดจำ หากยอดคงเหลือต่ำกว่า 220 เยน จะได้รับคืนเฉพาะเงินมัดจำ 500 เยน

แวะคุยสักนิด🐶🌸

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวิธีการซื้อบัตร IC Card และการใช้บัตร นับว่าเป็นบัตรที่สะดวกมากๆ เลยใช่ไหมคะ ใช้จ่ายได้ทั้งค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ร้านค้าต่างๆ ตอนที่เราอยู่ญี่ปุ่นเองก็ใช้บัตร IC Card ทุกวันเลยค่ะ เคยใช้แบ่งจ่ายที่ร้านแฟรนไชน์ฟาสฟู้ดชื่อย่อ M แห่หนึ่งเพราะเงินที่พกมาไม่พอด้วย ถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้และตระหนักว่าญี่ปุ่นเนี่ยสะดวกจริงๆ เลย ถ้าที่ไทยเราก็น่าจะทำแบบนี้บ้างคงจะใช้ชีวิตสะดวกน่าดู ว่าไหมคะ