10 เมืองเปี่ยมเสน่ห์และ 10 สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในญี่ปุ่น

10 เมืองเปี่ยมเสน่ห์และ 10 สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในญี่ปุ่น

ทำไมใครๆ ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นน่ะหรอ ก็เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีบรรยากาศของความทันสมัยผสมผสานกับความเก่าแก่ของเมืองได้อย่างลงตัว จนทำให้แดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ เมื่อมาเที่ยวที่นี่ จะได้สัมผัสทั้งวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่งและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าทึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นสายชิลล์ สายที่ชอบแสงสีความเป็นเมือง สายช้อป หรือสายกินที่ฟินกับอาหารอร่อยๆ ที่ญี่ปุ่นมีครบ ฤดูกาลทั้งสี่ของญี่ปุ่นก็เป็นอีกจุดเด่นที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก ทั้งซากุระช่วงใบไม้ผลิ ความเขียวขจีในหน้าร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีที่ปกคลุมไปทั้งประเทศตอนใบไม้ร่วง หรือหิมะขาวโพลนในหน้าหนาว ไม่ว่าจะมาเที่ยวฤดูไหนๆ จะต้องประทับใจและได้ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมจากที่นี่

สารบัญ

Show More

10 เมืองญี่ปุ่นน่าเที่ยว เสน่ห์ที่แตกต่างกัน

นอกจากโตเกียวหรือโอซาก้า ญี่ปุ่นยังเต็มไปด้วยเมืองที่มีเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวที่รอให้ผู้คนมาค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นสายวัฒนธรรม สายธรรมชาติ สายช้อปปิ้ง หรือสายกิน แดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้มีเมืองที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการอยู่เสมอ นอกจากนี้ แต่ละเมืองล้วนมีเรื่องราว บรรยากาศ และประสบการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

1. โตเกียว (Tokyo) มหานครที่ไม่เคยหลับใหล

โตเกียว ยังคงเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในญี่ปุ่น เป็นมหานครที่ไม่เคยหยุดนิ่งและเต็มไปด้วยสีสัน ไม่ว่าจะเป็นย่านชิบูย่า (Shibuya) ที่โด่งดังจากทางม้าลายห้าแยกอันวุ่นวาย หรือย่านชินจูกุ (Shinjuku) ที่มีตึกระฟ้ามากมายและแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน การเดินเที่ยวชมวัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ในอาซากุสะ (Asakusa) ที่จะพาทุกคนย้อนกลับไปสู่ยุคอดีตอันรุ่งโรจน์ของโตเกียว

ขณะที่ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) จะทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับแฟชั่นและวัฒนธรรมป๊อปที่ไม่เหมือนใคร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะและวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติต่างๆ ในอุเอโนะ (Ueno) ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด

นอกจากนี้ การเดินทางไปยังโตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree) เพื่อชมวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลของเมืองก็เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ การสำรวจย่านต่าง ๆ ในโตเกียวไม่ว่าจะด้วยการเดินเท้าหรือระบบขนส่งสาธารณะที่ยอดเยี่ยม จะทำให้ได้สัมผัสกับพลังและความหลากหลายของเมืองหลวงแห่งนี้ได้อย่างเต็มอิ่ม

2. เกียวโต (Kyoto) อัญมณีแห่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่

เกียวโต เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่น ยังคงรักษาเสน่ห์ของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนานได้อย่างสมบูรณ์ วัดคินคาคุจิ (Kinkakuji Temple) หรือวัดทอง ที่โดดเด่นด้วยศาลาทองคำสะท้อนน้ำ คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ เช่นเดียวกับวัดกิงคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือวัดเงิน ที่มอบความสงบและสุนทรียภาพ สวนหินเรียบง่ายของวัดเรียวอันจิ (Ryoanji Temple) เชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้นั่งสงบจิตใจ

การเดินเล่นในป่าไผ่อาราชิยามะ (Arashiyama Bamboo Grove) เป็นประสบการณ์อันแปลกใหม่ที่น่าประทับใจและให้ความรู้สึกสงบ ร่มรื่น ส่วนย่านกิออน (Gion) อาจจะได้พบกับเกอิชาหรือไมโกะเดินผ่านไปมาที่นี่ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการได้เข้าร่วมพิธีชงชาแบบดั้งเดิม หรือการสวมชุดกิโมโนเดินเล่นรอบเมือง ทำให้การมาเยือนเกียวโตสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ให้สมกับเป็นเกียวโต เมืองที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของญี่ปุ่นโบราณ

3. โอซาก้า (Osaka) มหานครแห่งอาหารและความบันเทิง

โอซาก้า เมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและเป็นที่รู้จักในฐานะครัวของญี่ปุ่น เมืองแห่งนี้ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักชิมทั่วโลก เมื่อมาที่นี่ ไม่ควรพลาดการลิ้มลองอาหารขึ้นชื่ออย่างทาโกะยากิ (Takoyaki) โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) หรือคุชิคัตสึ (Kushikatsu)

ในย่านโดทงโบริ (Dotonbori) เต็มไปด้วยป้ายไฟนีออนขนาดใหญ่และผู้คนกับรรยากาศที่คึกคัก สมกับเป็นย่านท่องเที่ยวอันดับต้นของเมือง ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) หนึ่งในปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น คือสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและงดงาม ส่วนย่านชินเซไก (Shinsekai) ที่นี่จะได้สัมผัสกับบรรยากาศย้อนยุคและหอคอยสึเท็นคาคุ (Tsutenkaku) หนึ่งในแลนด์มาร์กของโอซาก้าและยังเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามและการฟื้นตัวของเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

โอซาก้ายังเป็นที่ตั้งของยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน (Universal Studio Japan) สวนสนุกระดับโลกที่มอบความบันเทิงให้กับทุกเพศทุกวัย การผสมผสานระหว่างอาหารอร่อย แหล่งช้อปปิ้ง และสถานบันเทิง ทำให้โอซาก้าเป็นเมืองที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังสำหรับผู้ที่มองหาความสนุกสนานและประสบการณ์ใหม่ๆ จากการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

4. ฮอกไกโด (Hokkaido) สวรรค์แห่งธรรมชาติและฤดูหนาว

ฮอกไกโด เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น คือสวรรค์สำหรับผู้ที่รักธรรมชาติและกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสกีและสโนว์บอร์ดในฤดูหนาวที่นิเซโกะ (Niseko) ฟุราโนะ (Furano) หรือรุซุทสึ (Rusutsu) หรือการชมทุ่งลาเวนเดอร์บานสะพรั่งในช่วงฤดูร้อนที่ฟุราโนะและบิเอะ (Biei)

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่นอื่นๆ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง (Daisetsuzan National Park) ที่มีทิวทัศน์ภูเขาอันยิ่งใหญ่และน้ำตกที่สวยงาม เมืองซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของฮอกไกโด เป็นที่ตั้งของสวนโอโดริ (Odori Park) และหอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Clock Tower) และยังเป็นเมืองที่จัดเทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) อันโด่งดังในเดือนกุมภาพันธ์ 

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารทะเล ฮอกไกโดขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลสดใหม่และอร่อย ไม่ว่าจะเป็นปูฮอกไกโด หรืออาหารทะเลอื่นๆ ที่ตลาดปลา ทำให้ฮอกไกโดเป็นจุดหมายปลายทางที่น่ามาเยือนตลอดทั้งปี

5. นารา (Nara) เมืองแห่งกวางและมรดกโลก

นารา เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น เป็นเมืองที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และยังเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งกวาง เนื่องจากมีกวางป่าจำนวนมากเดินเตร่อย่างอิสระในสวนนารา และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่ารักและเป็นมิตรกับผู้มาเยือน สามารถป้อนขนมกวางให้พวกมันได้

วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึสำริดขนาดใหญ่ คือหนึ่งในวัดที่สำคัญที่สุดในญี่ปุ่น เช่นเดียวกับศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine) ที่โดดเด่นด้วยโคมไฟหินและโคมไฟทองแดงนับพันโคม การเดินเล่นในเมืองนาราจะทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต ด้วยวัดวาอารามเก่าแก่และบรรยากาศอันเงียบสงบ นาราเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับประวัติศาสตร์และธรรมชาติของญี่ปุ่นในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

6. ฮิโรชิม่าและมิยาจิม่า (Hiroshima & Miyajima) ประวัติศาสตร์ ความหวัง และธรรมชาติ

ฮิโรชิม่า เมืองที่ฟื้นคืนจากเถ้าถ่านสู่สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ยังคงดึงดูดผู้มาเยือนด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสถานที่สำคัญต่างๆ อนุสรณ์สถานสันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Memorial) และสวนสันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Park) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สะท้อนถึงโศกนาฏกรรมในอดีตและเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของสันติภาพ

จากฮิโรชิม่า สามารถเดินทางไปยังเกาะมิยาจิม่า (Miyajima Island) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine) อันโด่งดังที่มีประตูโทริอิกลางน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก การได้เห็นประตูโทริอิที่ลอยอยู่เหนือน้ำในช่วงน้ำขึ้น และการเดินเล่นในบรรยากาศอันเงียบสงบของเกาะเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ มิยาจิม่ายังมีกวางป่าอาศัยอยู่จำนวนมากเช่นเดียวกับนารา ฮิโรชิม่าและมิยาจิม่ามอบการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และความหวังที่จะทำให้การเดินทางของมีความหมาย

7. โอกินาว่า สวรรค์เขตร้อนแห่งแดนอาทิตย์อุทัย

โอกินาว่า หมู่เกาะทางใต้สุดของญี่ปุ่น สวรรค์เขตร้อนที่แตกต่างจากภูมิภาคอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ด้วยชายหาดที่สวยงาม น้ำทะเลสีครามใส และแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ โอกินาว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอุดมคติสำหรับการพักผ่อนริมทะเล ดำน้ำตื้น และดำน้ำลึก สามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุระอุมิโอกินาว่า (Okinawa Churaumi Aquarium) ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีฉลามวาฬเป็นจุดเด่น 

นอกจากนี้ โอกินาว่ายังมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรริวกิวในอดีต การสำรวจปราสาทชูริ (Shuri Castle) ปราสาทเก่าแก่ที่เป็นมรดกโลกของยูเนสโก จะทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของหมู่เกาะแห่งนี้ โอกินาว่ามอบบรรยากาศที่ผ่อนคลายและแตกต่างจากเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการหลีกหนีความวุ่นวาย

8. ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ประตูสู่คิวชูและเมืองแห่งอาหาร

ฟุกุโอกะ เมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชู เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของอาหารอร่อย โดยเฉพาะราเม็งฮากาตะ (Hakata Ramen) และแผงลอยขายอาหารหรือยาไตะ (Yatai) ที่ริมแม่น้ำซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่พลาดไม่ได้ สามารถเดินเล่นในสวนโอโฮริ (Ohori Park) ชมซากปราสาทฟุกุโอกะ (Fukuoka Castle) หรือเยี่ยมชมศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่สำคัญและสวยงาม

ฟุกุโอกะยังเป็นประตูสู่การสำรวจภูมิภาคคิวชู (Kyushu) ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น บ่อน้ำพุร้อนเบปปุ (Beppu Onsen) และภูเขาไฟอาโสะ (Mt. Aso) การเดินทางที่สะดวกสบายและบรรยากาศที่เป็นกันเองของเมือง ทำให้ฟุกุโอกะเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจภาคใต้ของญี่ปุ่น

9. คานาซาว่า (Kanazawa) มนต์เสน่ห์แห่งเมืองซามูไรและศิลปะ

คานาซาว่า เมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลญี่ปุ่น เป็นเมืองที่ยังคงรักษามนต์เสน่ห์ของยุคซามูไรไว้ได้อย่างดีเยี่ยม สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) ด้วยภูมิทัศน์ที่ประณีตและงดงามทุกฤดูกาล สวนแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสามสวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของเมือง

ที่ย่านนากามาจิ บูเกะยาชิกิ (Nagamachi Bukeyashiki District) จะได้สัมผัสกับบ้านพักซามูไรที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ยังมีย่านฮิงาชิชายะ (Higashi Chaya District) ย่านโรงน้ำชาเก่าแก่ ที่มีอาคารไม้สวยงามให้เดินสำรวจ คานาซาว่ายังขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือดั้งเดิม โดยเฉพาะเครื่องเคลือบดินเผาคุทานิ (Kutani Ware) และงานฝีมือทองคำเปลว การมาเยือนคานาซาว่าจะทำให้ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ลึกซึ้งและประวัติศาสตร์อันยาวนานในบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงาม

10. ฮาโกเน่ (Hakone) ธรรมชาติ ภูเขาไฟ และศิลปะ

ฮาโกเน่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือค้างคืน ฮาโกเน่มีชื่อเสียงจากทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม ทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) และวิวภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) ที่งดงาม การล่องเรือในทะเลสาบอาชิ การนั่งกระเช้าฮาโกเน่ (Hakone Ropeway) เพื่อชมวิวภูเขาไฟฟูจิ และการเยี่ยมชมหุบเขาโอวากุดานิ (Owakudani) และลองทานไข่ดำที่เป็นของขึ้นชื่อ เป็นกิจกรรมที่พลาดไม่ได้

นอกจากนี้ ฮาโกเน่ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้งฮาโกเน่ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะแก้วฮาโกะแนะ เวเนเชี่ยน ฮาโกเน่มอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างธรรมชาติที่สวยงาม กิจกรรมกลางแจ้ง และศิลปะ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ผ่อนคลายและสร้างแรงบันดาลใจ

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นชื่อดังที่ต้องไปเยือน ปี 2025

1. ย่านชิบูย่า (Shibuya) โตเกียว (Tokyo)

ย่านชิบูย่า ยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่คึกคักและเป็นสัญลักษณ์ของโตเกียว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Scramble Crossing) ทางม้าลายที่ใหญ่และพลุกพล่านที่สุดในโลก ซึ่งจะได้เห็นผู้คนนับพันเดินข้ามแยกพร้อมกัน เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและสะท้อนถึงพลังของมหานครแห่งนี้

นอกจากนี้ ชิบูย่ายังเป็นศูนย์รวมของแฟชั่น เทรนด์ใหม่ๆ และแหล่งช้อปปิ้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า Shibuya 109 ที่เป็นตำนาน หรือร้านค้าแบรนด์ดังต่างๆ ยังสามารถเดินเล่นในสวนโยโยงิ (Yoyogi Park) ที่อยู่ใกล้เคียง สัมผัสความสงบในใจกลางเมือง หรือเยี่ยมชมศาลเจ้าเมจิจิงกู (Meiji Jingu Shrine) เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

2. วัดคินคาคุจิ (Kinkakuji Temple) เกียวโต (Kyoto)

วัดคินคาคุจิ หรือวัดทอง เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์และงดงามที่สุดของเกียวโต ศาลาหลักของวัดเคลือบด้วยทองคำเปล่งประกายระยิบระยับสะท้อนผืนน้ำในบ่อน้ำเคียวโกจิ (Kyoko-chi Pond) สร้างทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่ว่าจะมองจากมุมใด การเดินชมสวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมรอบๆ วัดจะทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 14 และเคยเป็นที่พักตากอากาศของโชกุนอาชิคางะ โยชิมิสึ (shikaga Yoshimitsu) ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นวัดเซนตามความประสงค์ของเขา คินคาคุจิเป็นมรดกโลกของยูเนสโก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จะได้สัมผัสกับความงามทางสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันล้ำค่าของญี่ปุ่น

3. ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) โอซาก้า (Osaka)

ปราสาทโอซาก้า ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดของญี่ปุ่น ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้าและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะในสมัยของโชกุนโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ที่สร้างปราสาทขึ้นในปี ค.ศ. 1583 

ตัวปราสาทสูงตระหง่านมีกำแพงหินขนาดใหญ่และคูน้ำล้อมรอบ ซึ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่และความมั่นคง ภายในปราสาทปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของปราสาทและโชกุนโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ รวมถึงสิ่งของโบราณต่างๆ บริเวณรอบปราสาทเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สวยงาม เหมาะสำหรับการเดินเล่นและชมดอกซากุระบานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ การมาเยือนปราสาทโอซาก้าจะทำให้ได้สัมผัสกับเรื่องราวของซามูไรและยุคศักดินาอันรุ่งโรจน์ของญี่ปุ่น

4. ป่าไผ่อาราชิยามะ (Arashiyama Bamboo Grove) เกียวโต (Kyoto)

ป่าไผ่อาราชิยามะ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและงดงามที่สุดในเกียวโต เมื่อก้าวเข้าสู่ป่าไผ่แห่งนี้ จะถูกโอบล้อมด้วยลำต้นไผ่สูงเสียดฟ้าที่เรียงรายอย่างหนาแน่น ทำให้เกิดอุโมงค์ธรรมชาติที่น่าทึ่งและให้ความรู้สึกสงบเงียบ เสียงลมพัดผ่านลำต้นไผ่จะสร้างเสียงกระซิบอันไพเราะที่ช่วยให้จิตใจสงบ การเดินเล่นตามทางเดินที่ทอดยาวผ่านป่าไผ่เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและประทับใจ

นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงยังมีวัดเท็นริวจิ (Tenryuji Temple) ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก และสะพานโทเง็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำคัตสึระ (Katsura River) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่ง อาราชิยามะแห่งนี้ จะช่วยให้ทุกคนได้หลีกหนีจากความวุ่นวายและให้ได้ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง

5. เกาะมิยาจิม่า (Miyajima Island) ฮิโรชิม่า (Hiroshima)

เกาะมิยาจิม่า เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของญี่ปุ่น โดยเฉพาะจากศาลเจ้าอิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine) ที่มีประตูโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางน้ำ ซึ่งเป็นภาพที่โด่งดังและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก จะได้เห็นประตูโทริอิในมุมที่แตกต่างกันไปตามระดับน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งสร้างทัศนียภาพอันน่าประทับใจ

การเดินทางไปยังเกาะสามารถทำได้โดยการนั่งเรือเฟอร์รี่ และเมื่อมาถึงจะได้พบกับกวางป่าที่เป็นมิตรเดินเตร่อย่างอิสระทั่วเกาะ นอกจากนี้ บนเกาะยังมีวัดเซ็นโจคาคุ (Senjokaku Pavilion) และเจดีย์ห้าชั้น (Five-Storied Pagoda) ที่สวยงาม สามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขามิเซ็น (Mt. Misen) เพื่อชมวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลของทะเลและเกาะต่างๆ

6. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุระอุมิโอกินาว่า (Okinawa Churaumi Aquarium) โอกินาว่า (Okinawa)

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุระอุมิโอกินาว่า (Okinawa Churaumi Aquarium) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดในโอกินาว่าและเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุดเด่นของที่นี่คือแทงก์น้ำคุโรชิโอะ (Kuroshio Tank) ซึ่งเป็นแทงก์ขนาดมหึมาที่จำลองระบบนิเวศของกระแสน้ำคุโรชิโอะในมหาสมุทร ที่นี่ ยังได้ตื่นตาตื่นใจกับฉลามวาฬยักษ์ ปลากระเบนราหู และฝูงปลาหลากหลายชนิดที่แหวกว่ายอยู่เบื้องหน้าในระยะประชิด

นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ยังมีโซนจัดแสดงสัตว์ทะเลอื่นๆ เช่น ปลาโลมา เต่าทะเล และสัตว์น้ำหลากหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในน่านน้ำเขตร้อนของโอกินาว่า การมาเยือนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ไม่เพียงแต่ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนทุกเพศทุกวัย เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแบบครอบครัว

7. โดทงโบริ (Dotonbori) โอซาก้า (Osaka)

โดทงโบริ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชีวิตชีวาและเป็นเอกลักษณ์ที่สุดของโอซาก้า ย่านนี้โดดเด่นด้วยป้ายไฟนีออนขนาดใหญ่ที่สะท้อนลงบนผิวน้ำของคลองโดทงโบริ โดยเฉพาะป้ายกูลิโกะแมน (Glico Man Sign) ที่เป็นสัญลักษณ์ของย่านนี้ โดทงโบริยังเป็นสวรรค์ของนักชิม ที่นี่สามารถลิ้มลองอาหารขึ้นชื่อของโอซาก้าได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ทาโกะยากิ (Takoyaki) ลูกบอลแป้งย่างไส้ปลาหมึก โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) แพนเค้กญี่ปุ่น หรือ คุชิคัตสึ (Kushikatsu) ของทอดเสียบไม้หลากหลายชนิด

นอกจากอาหารแล้ว โดทงโบริยังเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน บรรยากาศที่คึกคักและเต็มไปด้วยสีสัน ทำให้โดทงโบริเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งความสนุกสนานของผู้คนและอาหารอร่อยของโอซาก้า

8. สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) คานาซาว่า (Kanazawa)

สวนเคนโรคุเอ็น หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามสวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น เคนโรคุ (Kenroku) หมายถึง สวนที่มีคุณสมบัติหกประการ ได้แก่ ความกว้างขวาง ความเงียบสงบ ศิลปะ ความเก่าแก่ ทางน้ำ และทิวทัศน์ที่งดงาม

สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ และได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเยี่ยม มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ สะพาน น้ำตก และต้นไม้ที่ได้รับการจัดแต่งอย่างประณีต สามารถเดินเล่นตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ชมศาลาชงชาแบบดั้งเดิม และเพลิดเพลินกับความงามของสวนที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง หรือหิมะที่ปกคลุมในฤดูหนาว เป็นสถานที่ที่มอบความสงบและสุนทรียภาพทางศิลปะอย่างแท้จริง

9. สวนนารา (Nara Park) และวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) นารา (Nara)

สวนนารา สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในนารา เป็นที่รู้จักในนามเมืองแห่งกวาง เพราะที่นี่จะได้พบกับกวางจำนวนมากเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสวนแห่งนี้ สามารถซื้อขนมเซมเบ้ป้อนอาหารกวางและถ่ายรูปกับกวางที่เป็นมิตรเหล่านี้ได้ จุดเด่นที่สามารถใกล้ชิดกับกวางแสนน่ารักเหล่านี้ ทำให้นาราเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังญี่ปุ่น

นอกจากกวางแล้ว สวนนารายังเป็นที่ตั้งของวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก และเป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญที่สุดในญี่ปุ่น ภายในวิหารหลักของวัด เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปไดบุทสึสำริดขนาดใหญ่ ที่มีความสูงกว่า 15 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 8 และวัดแห่งนี้ยังเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้รู้สึกทึ่งในความยิ่งใหญ่และประวัติศาสตร์ทันทีที่ก้าวเข้าไป

10. โอวากุดานิ (Owakudani) ฮาโกเน่ (Hakone)

หุบเขาโอวากุดานิ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจและน่าตื่นเต้นที่สุดในฮาโกเน่ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา โอวากุดานิเป็นหุบเขาที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน ที่นี่ จะได้เห็นไอน้ำและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ซึ่งเป็นสัญญาณของภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ บรรยากาศที่นี่ค่อนข้างร้อนและมีกลิ่นกำมะถันแรง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและไม่เหมือนใคร

จุดเด่นของโอวากุดานิคือ คุโระ ทามาโกะ (Kuro Tamago) หรือ ไข่ดำ ซึ่งเป็นไข่ที่นำไปต้มในบ่อน้ำพุร้อนที่มีกำมะถัน ทำให้เปลือกไข่เปลี่ยนเป็นสีดำ เชื่อกันว่าการกินไข่ดำหนึ่งฟองจะช่วยยืดอายุได้ 7 ปี สามารถเดินทางมายังโอวากุดานิได้โดย กระเช้าฮาโกเน่โรปเวย์ (Hakone Ropeway) ซึ่งจะมอบวิวทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาโดยรอบและทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) รวมถึงภูเขาไฟฟูจิในวันที่อากาศแจ่มใส

สถานที่ท่องเที่ยวแบ่งตามความสนใจ

อย่างที่ได้พูดไปว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผลสมผสานความเป็นสมัยใหม่กับความคลาสสิก ความดั้งเดิมของเมืองได้อย่างลงตัว ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย สามารถตอบรับได้ทุกความต้องการ

สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ใครที่หลงใหลในประวัติศาสตร์ ที่นี่เป็นอีกประเทศที่ไม่ควรพลาดที่จะมาเยือนเพื่อสำรวจสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านั้น

เกียวโต (Kyoto) เมืองหลวงเก่าที่คงกลิ่นอายความเก่าแก่ไว้อย่างสมบูรณ์ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่าง วัดคิโยมิซุเดระ (Kiyomizu Temple) วัดไม้เก่าแก่บนเนินเขาที่มอบทัศนียภาพอันงดงาม และปราสาทนิโจ (Nijo Castle) สัญลักษณ์ของอำนาจโชกุนในอดีต

นารา (Nara) เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างเช่น วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) ที่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปไดบุตสึ และมีฝูงกวางที่เดินอย่างอิสระบริเวณสวนสาธารณะ

ฮิโรชิม่า (Hiroshima) อีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ สำหรับใครที่สนใจเรื่องสงครามโลกน่าจะรู้จักเมืองนี้กันอย่างดี สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปสำรวจ เช่น สวนสันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Memorial Park) และโดมปรมาณู (Atomic Bomb Dome) ที่เป็นอนุสรณ์สถานเตือนใจถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์โลก

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ

นอกจากจะเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์แล้ว ญี่ปุ่นยังมีธรรมชาติอันสมบูรณ์และหลากหลายงดงาม เมื่อมาที่นี่ก็ต้องลองไปสัมผัสความสวยงามที่ธรรมชาติโอบอุ้มประเทศนี้ไว้สักครั้ง

ภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) สัญลักษณ์อันโดดเด่นของญี่ปุ่น ด้วยความสูงถึง 3,776 เมตรทำให้ฟูจิกลายเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น  และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

อุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเน่-อิซุ (Fuji-Hakone-Izu National Park) หนึ่งจุดหมายยอดนิยมที่อยู่ใกล้โตเกียว เพลิดเพลินกับวิวทะเลสาบอะชิที่สะท้อนเงาฟูจิ และผ่อนคลายไปกับบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ

หุบเขาโกคายามะ (Gokayama) และหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็มอบความรู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลกด้วยบ้านเรือนสไตล์กัสโชซูคุที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์

สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับสายกิน สายช้อป

เมื่อมาญี่ปุ่นก็ต้องกินให้หนำใจ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยของอร่อย แต่ละภูมิภาคก็จะมีอาหารที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของตัวเอง อีกทั้ง ยังเต็มไปด้วยย่านช้อปปิ้งที่รวมทุกสิ่งที่ต้องการมาไว้ในที่เดียว ใครที่ตะลุยท่องเที่ยวธรรมชาติและประวัติศาสตร์มาแล้ว ลองมาเที่ยวในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีก็ดีไม่น้อย

โตเกียว (Tokyo) เมืองที่เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและแหล่งรวมของอร่อยที่ไม่เคยหลับใหล แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต เช่น ย่านชิบูย่า (Shibuya) และชินจูกุ (Shinjuku) ย่านที่รวมแบรนด์ดังไว้มากมาย และไม่ว่าจะร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ หรือร้านอิซากายะแบบท้องถิ่นก็มีให้เลือกไม่รู้จบ

โอซาก้า (Osaka) มีย่านที่โด่งดังด้วยป้ายไฟขนาดใหญ่และร้านอาหารเรียงรายอย่างโดทงโบริ (Dotonbori)  สามารถชิมทาโกะยากิ โอโคโนมิยากิ หรือคุชิคัตสึต้นตำรับได้ที่นี่ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความคึกคักเข้ากับคนไทยสุดๆ

ฟุกุโอกะ (Fukuoka) มีย่านที่น่าสนใจอย่างย่านเทนจิน (Tenjin) เหมาะสำหรับสายช้อปที่มองหาสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ของที่ระลึก ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ในช่วงเย็นยังอร่อยกับอาหารได้ที่ยาไต (Yatai) หรือร้านแผงลอยขายอาหารข้างทาง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟุกุโอกะ

สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับสายอนิเมะ การ์ตูน คาแรคเตอร์

อนิเมะ เป็นสื่อบันเทิงหนึ่งที่แสดงความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างดี เป็นวัฒนธรรมย่อยที่โด่งดังและส่งออกไปถึงต่างประเทศ ทำให้ใครๆ ก็อยากจะมาเยือนประเทศที่เป็นต้นกำเนิดอนิเมะในใจของหลายๆ คน

อากิฮาบาระ (Akihabara) สวรรค์ของโอตาคุ ด้วยร้านอนิเมะ มังงะ ฟิกเกอร์ และเกมมากมาย รวมถึงคาเฟ่เมดที่สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ทำให้ย่านนี้กลายเป็นหมุดหมายแรกที่ต้องมาเยือนทันทีที่เท้าแตะญี่ปุ่นของใครหลายคน

สวนสนุกจิบลิ (Ghibli Park) สวนสนุกเชิงนิทรรศการที่สร้างสรรค์จากโลกแห่งภาพยนตร์แอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา ตั้งอยู่ในจังหวัดไอจิ ใกล้เมืองนาโกย่า สวนแห่งนี้แตกต่างจากสวนสนุกทั่วไปตรงที่ไม่มีเครื่องเล่นหวาดเสียว แต่เน้นการพาผู้เข้าชมไปดินสำรวจ ดื่มด่ำบรรยากาศ และซึมซับรายละเอียดต่างๆ จากภาพยนตร์ดัง

Universal Studios Japan (USJ) หนึ่งในสวนสนุกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกและดึงดูดในนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น เป็นสวนสนุกที่จะได้ดื่มด่ำไปกับเครื่องเล่นที่มีธีมจากภาพยนตร์ อนิเมะ และเกมชื่อดัง

ฤดูกาลในญี่ปุ่นและช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยว

ก่อนจะไปเที่ยวญี่ปุ่น เรามาทำความเข้าใจแต่ละฤดูกาลของญี่ปุ่นกันสักนิด ญี่ปุ่นแบ่งฤดูหลักๆ ออกเป็น 4 ฤดู ได้แก่

ฤดูใบไม้ผลิ

ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม นับเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการท่องเที่ยวทั้งจากคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นช่วงที่ตรงกับวันหยุดยาวของญี่ปุ่น ทำให้มีผู้คนออกมาเที่ยวกันมากขึ้นกว่าช่วงไหนๆ ในฤดูนี้ดอกซากุระจะบานสะพรั่งทั่วประเทศ สร้างทิวทัศน์อันงดงามราวกับภาพวาด รวมไปถึงดอกไม้อื่นๆ ที่ค่อยๆ ผลิบานในช่วงนี้ เช่น  ดอกบ๊วย ดอกทิวลิป ดอกเนโมฟีล่า อากาศอบอุ่น ไม่หนาวหรือว่าร้อนจนเกินไป เป็นฤดูที่เหมาะกับการชมธรรมชาติ

ฤดูร้อน

ถัดมาคือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อากาศจะอบอุ่นและร้อนชื้นขึ้น เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การเที่ยวทะเล และไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ในฤดูกาลนี้เลยคือ เทศกาลดอกไม้ไฟ และยังคึกคักไปด้วยงานเทศกาลฤดูร้อนมากมาย ช่วงนี้อาจมีฝนตกอยู่บ่อยๆ ให้บรรยากาศการท่องเที่ยวที่ต่างไปจากทั้งสามฤดู แต่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทางแน่นอน

ฤดูใบไม้ร่วง

ฤดูใบไม้ร่วง เริ่มตั้งแต่ประมาณเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน เป็นอีกฤดูทองแห่งการท่องเที่ยว ในฤดูนี้ผู้คนจะได้เพลิดเพลินไปกับใบไม้เปลี่ยนสี ที่จะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง ส้ม หรือแดง ย้อมทั้งภูเขาและสองข้างทาง รวมไปถึงสถานที่ต่างๆ ให้เต็มไปด้วยสีสดใส อากาศเริ่มเย็นสบายมากขึ้น เหมาะกับเที่ยวชมเมืองหรือวัฒนธรรมดั้งเดิม อย่างเช่น วัด ศาลเจ้า หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อื่นๆ

ฤดูหนาว

ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ฤดูนี้หิมะจะตกในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศและบนเทือกเขา เป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบความหนาวและกีฬาฤดูหนาวอย่างสกีและสโนว์บอร์ด รวมถึงการแช่ออนเซ็น นอกจากนั้น ในฤดูนี้ญี่ปุ่นจะมีการติดไฟประดับตามท้องถนนและจัดงานไฟประดับตามสถานที่ต่างๆ สร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติก

การเดินทางในประเทศญี่ปุ่น

การท่องเที่ยวในญี่ปุ่น สามารถเดินทางได้หลักๆ 3 วิธี

รถไฟ

รถไฟเป็นหัวใจหลักของการคมนาคมในญี่ปุ่น โดยเฉพาะรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) หรือรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงเมืองหลักทั่วประเทศ การเดินทางด้วยชินคันเซ็นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางข้ามเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต และฟุกุโอกะ นอกจากนี้ ที่ญี่ปุ่นยังมีระบบรถไฟของท้องถิ่นที่ครอบคลุมเมืองเล็กเมืองน้อย ทำให้เข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้ง่าย

รถบัส

รถบัสเป็นอีกทางเลือกที่ยืดหยุ่นและประหยัดเงิน โดยเฉพาะสำหรับการเดินทางในเมืองหรือไปยังพื้นที่ที่รถไฟเข้าไม่ถึง รถบัสระหว่างเมืองก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเดินทางระยะไกล โดยเฉพาะในเส้นทางที่ชินคันเซ็นไม่ผ่าน แม้จะใช้เวลานานกว่ารถไฟ แต่ราคาถูกมักจะกว่าและมีเส้นทางการเดินทางให้เลือกหลากหลาย

การเช่ารถยนต์

การเช่ารถขับเที่ยวในญี่ปุ่น เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความอิสระในการเดินทาง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในพื้นที่ชนบท อุทยานแห่งชาติ หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ห่างไกลจากสถานีรถไฟ การขับรถในญี่ปุ่นค่อนข้างสะดวกสบาย ถนนหนทางดีเยี่ยมและมีป้ายบอกทางที่ชัดเจน แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีใบขับขี่สากลและทำความเข้าใจกฎจราจรของญี่ปุ่น การจราจรในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะโตเกียว อาจค่อนข้างหนาแน่น และค่าจอดรถค่อนข้างสูง การเดินทางลักณะนี้จึงเหมาะสำหรับการเดินทางออกนอกเมืองมากกว่า

มารยาทพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น

การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามมารยาทพื้นฐานของคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับความสุภาพและความเคารพผู้อื่นอย่างสูง จะช่วยให้การเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

✨การโค้งคำนับ คนญี่ปุ่นมักใช้การโค้งคำนับเพื่อทักทาย ขอบคุณ ขอโทษ หรือแสดงความเคารพ แม้จะไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนคนญี่ปุ่น แต่การลองฝึกโค้งคำนับเบาๆ เมื่อได้รับการบริการหรือเมื่อต้องการแสดงความขอบคุณก็แสดงถึงความใส่ใจ

 

✨ความสะอาดและการรักษาความสงบ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่น การทิ้งขยะไม่เป็นที่หรือส่งเสียงดังในที่สาธารณะ โดยเฉพาะบนรถไฟชินคันเซ็นหรือรถไฟทั่วไป ถือว่าไม่เหมาะสม และควรงดใช้โทรศัพท์มือถือในการสนทนาเสียงบนรถไฟ เพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่น

✨ร้านอาหารหรือคาเฟ่ การรอคิวอย่างเป็นระเบียบเป็นเรื่องปกติ ไม่ควรส่งเสียงดังขณะรับประทานอาหาร และการรับประทานอาหารไปเดินไปในที่สาธารณะก็ไม่เป็นที่นิยม นอกจากนี้ การให้ทิปก็ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติในญี่ปุ่น อาจถูกมองว่าเป็นการดูถูกได้

 

✨ออนเซ็นหรือโรงอาบน้ำสาธารณะ มีกฎระเบียบที่เคร่งครัด ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนลงแช่เสมอ และควรถอดเสื้อผ้าทั้งหมดก่อนลงบ่อ รวมถึงเก็บผมให้เรียบร้อยหากผมยาว

✨การเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่างวัดและศาลเจ้า ควรแต่งกายสุภาพ ไม่ส่งเสียงดัง และปฏิบัติตามกฎของสถานที่นั้นๆ เช่น ถอดรองเท้าก่อนเข้าอาคารบางส่วน

สรุป

ถึงแม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศเกาะ แต่อุดมไปด้วยธรรมชาติและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าออย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศแห่งนี้มีเสน่ห์ที่หลากหลาย แตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นยังถูกส่งออกนอกเกาะผ่านทางสื่อบันเทิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง อนิเมะ ภาษา วัฒนธรรมย่อย ศิลปะ และประวัติศาสตร์ ทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากจะลองมาสัมผัสความอัศจรรย์ของสถานที่แห่งนี้สักครั้งหนึ่ง

บทความแนะนำ บทความแนะนำ